หลังจากที่เสด็จในกรมฯ เสด็จกลับมาถึงกรุงเทพฯ แล้ว ในวันที่ 23 มิถุนายน
พ.ศ.2443 จึงได้รับพระราชทานยศเป็น "นายเรือโทผู้บังคับการ"
(เทียบเท่านาวาตรีในปัจจุบัน) ทั้งนี้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ จะให้เป็นผู้บังคับการเรือปืน
ที่กำลังจัดซื้อ คือ ร.ล.พาลีรั้งทวีป หรือ ร.ล.สุครีพครองเมือง ลำใดลำหนึ่ง
ในขั้นแรกทรงรับราชการในตำแหน่ง "แฟลคเลฟเตอร์แนล"
(นายธง) ของผู้บัญชาการกรมทหารเรือ คือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม
เพื่อทรงเป็นที่ปรึกษาในกิจการทหารเรือ และทรงปฏิบัติราชการต่าง ๆ ที่ทรงได้รับมอบหมาย
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม ทรงให้เสด็จในกรมฯ ไปสำรวจการป้องกันลำน้ำเจ้าพระยา
พระองค์ได้ทูลเกล้าฯ ถวายรายงานของเสด็จในกรมฯ แด่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เมื่อวันที่ 30 มิถุยายน พ.ศ.2443 โดยละเอียด ซึ่งเป็นที่พอใจของกรมทหารเรือมาก
ดังมีรายงานบางตอนดังนี้
"เห็นด้วยเกล้าฯ ว่า ป้อมพระจุลจอมเกล้านั้น มีประโยชน์ในการสงครามน้อย นอกจากนั้น ยังทรงริเริ่มกำหนดแบบสัญญาณธงสองมือ และโคมไฟ ตลอดจนเริ่มฝึกพล "พลอาณัติสัญญาณ" (ทัศนสัญญาณ) ขึ้นเป็นครั้งแรก ทหารเหล่าทัศนสัญญาณ จึงได้ถือกำเนิดขึ้นในปีนี้ เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ.2443 อันเป็นวันที่ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตจาก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทหารเหล่าทัศนสัญญาณจึงเป็นทหารเรือรุ่นแรก ที่เสด็จในกรม ฯ ทรงฝึกสอนและประทานกำเนิด ทหารเหล่าทัศนสัญญาณจึงเป็นปฐมศิษย์ของเสด็จในกรมฯ และเป็นทหารเรือรุ่นแรกหรือชุดแรกที่ทรงมี ความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิด พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม ผู้บัญชาการกรมทหารเรือ ทรงพอพระทัยในการปฏิบัติงาน ของเสด็จในกรม ฯ มาก ทรงยกย่องว่าทรงมีความรู้จริง และมีความกระตือรือร้นที่จะทำงาน ในวันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ.2443 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม ในวันที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ.2444 เสด็จในกรมฯ ได้รับ พระราชทานยศเป็นนายเรือเอก (เทียบเท่านาวาเอกในปัจจุบัน) และได้ตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสชวาในเรือพระที่นั่งมหาจักรี ในระหว่างวันที่ 5 พฤษภาคม ถึงวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ.2444 ในตำแหน่งราชองครักษ์ฝ่ายทหารเรือ (Naval Aide - de - Camp) เพื่อจะได้มาศึกษางาน ครั้นต่อมาในวันที่ 16 กันยายน พ.ศ.2444 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นรองผู้บัญชาการกรมทหารเรือ ในวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ.2447 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนยศ เสด็จในกรมฯ จาก นายนาวาเอก เป็น นายพลเรือตรี และคงดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการกรมทหารเรือ ครั้งในวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ.2447 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาพระอิสริยยศเป็น กรมหมื่นชุมพรเขตรอุดมศักดิ์
|
ในปี พ.ศ.2445 เสด็จในกรมฯ ได้ทรงจัดระเบียบราชการ กรมทหารเรือขึ้นใหม่ และได้ทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เชื่อว่าคงได้รับพระราชทาน พระบรมราชานุญาตให้จัดได้เป็นบางตำแหน่ง เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติศักดินาทหารเรือ ร.ศ.112 ต่อมาในวันที่ 6 เมษายน พ.ศ.2446 สมเด็จเจ้าฟ้า กรมพระภาณุพันธุวงศ์วรเดช ผู้บัญชาการกรมทหารเรือ กราบบังคมทูล พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต จัดระเบียบบริหารราชการกรมทหารเรือใหม่ โดยได้ทรงปรึกษากับเสด็จในกรมฯ ซึ่งมีการแบ่งส่วนราชการกรมทหารเรือ ออกเป็น 6 ส่วน คือ กรมปลัดทัพ สำหรับบังคับบัญชากองเรือและกองทหาร ซึ่งเกี่ยวแก่การรบ และสำหรับประจำส่วนราชการทั่วไป ฯลฯ กรมยกกระบัตรทัพ สำหรับบังคับบัญชาการเงินและสรรพาวุธยุทธภัณฑ์ กรมเสนาธิการ สำหรับรวบรวมเรียบเรียงข้อบังคับและแบบแผน กรมทะเบียน สำหรับถือทะเบียนกะเกณฑ์และจำหน่ายคน กับทั้งพิจารณาพิพากษาคดีในกรมทหารเรือ กรมยุทธโยธา สำหรับบังคับบัญชาการช่างทั้งหลาย กรมบัญชาการทหารชายทะเล สำหรับบังคับบัญชาทหาร ซึ่งจะต้องประจำรับราชการอยู่ในหัวเมือง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระบรมราชานุญาต เมื่อวันที่ 7 เมษายน พ.ศ.2446 ต่อมาในวันที่ 22 มกราคม พ.ศ.2446 เสด็จในกรมฯ ได้ทูลเกล้าฯ ถวายร่างการจัดระเบียบราชการ ในกรมทหารเรืออีกครั้งหนึ่ง เรียกว่า "ข้อบังคับการปกครอง" แบ่งออกเป็น 3 ตอน คือ
ซึ่งพระดำริครั้งนี้ไม่ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาต
|
ในปี พ.ศ.2448 เสด็จในกรมฯ ทรงจัดทำโครงการป้องกันประเทศ ทางด้านทะเลขึ้น
|
เมื่อนายเรือเอก หม่อมไพชยนต์เทพ (ม.ร.ว.พิณ สนิทวงศ์) กำลังขอพระราชทานกราบถวายบังคมลาออกจากตำแหน่งเจ้ากรมยุทธศึกษาแล้วนั้น ปรากฏว่าในระยะนั้นเป็นช่วงที่การศึกษาของนักเรียนนายเรือไม่เจริญก้าวหน้าเท่าที่ควร สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนนครสวรรค์วรพินิต ทรงเห็นว่ามีความจำเป็นจะต้องรีบจัดการศึกษาของโรงเรียนนายเรือให้เจริญขึ้น จึงได้ทรงหารือกับเสด็จในกรมฯ และกราบบังคมทูลจัดตั้งคณะกรรมการขึ้น เมื่อวันที่ 2 มกราคม พ.ศ.2448 เพื่อปรับปรุงหลักสูตรของโรงเรียนนายเรือ คณะกรรมการประกอบด้วย เมื่อเสด็จในกรมฯ ทรงทำการในตำแหน่งเจ้ากรม ยุทธศึกษาทหารเรือแล้ว ทรงปรับปรุงการศึกษาของ โรงเรียนนายเรือให้เจริญก้าวหน้าขึ้นโดยโปรดให้สร้าง "โรงเรียนช่างกล" ขึ้นอีกโรงเรียนหนึ่งเมื่อปี พ.ศ.2449 โดยแยกศึกษาวิชาคนละสาขากับนักเรียนนายเรือ เว้นแต่วิชาอย่างเดียวกัน นักเรียนนายช่างกลเหล่านี้ ได้รับสมัคร จากนักเรียนนายเรือที่สมัครจะเรียน วิชาช่างกลนั่นเอง ในระยะแรก ๆ นั้น ปรากฏว่าสถานที่ฝึกงาน ภาคปฏิบัติของนักเรียนนายเรือยังไม่มี เสด็จในกรมฯ โปรดให้สร้างโรงงานขึ้น โดยสั่งหม้อน้ำเครื่องจักร ฯลฯ มาจากที่ต่าง ๆ พอที่จะประกอบเป็นโรงงานย่อม ๆ ขึ้น
|
ใน พ.ศ.2450 เสด็จในกรมฯ ได้ทรงนำนักเรียนนายเรือ และนักเรียนนายช่างกล
ประมาณ 100 คน ไปอวดธงที่ สิงคโปร์ ปัตตาเวีย ชวา
และเกาะบิลลิทัน โดย ร.ล.มกุฎราชกุมาร
(ลำที่ 1)
ในการเดินทางไปต่างประเทศครั้งนี้นับเป็นครั้งแรก และเสด็จในกรมฯ
ทรงเป็นผู้บังคับเรือเอง พร้อมด้วยนักเรียน และทหารประจำเรือ ซึ่งล้วนแต่เป็นคนไทยทั้งสิ้น
ในการออกฝึกและอวดธงในครั้งนี้ ทรงบัญชาการฝึก นักเรียนนายเรือด้วยพระองค์เอง
ให้นักเรียนทำการฝึกหัดปฏิบัติการในเรือทุกอย่าง เพื่อให้มีความอดทนต่อการใช้ชีวิตด้วยความยากลำบาก
เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง และเพื่อให้เป็นผู้เชี่ยวชาญในการปฏิบัติหน้าที่ของตนจริง
ๆ มีความกล้าหาญ รักชาติ ให้รู้จักชีวิตของการเป็นทหารเรือ อย่างแท้จริง กลับถึงกรุงเทพในวันที่
18 กันยายน พ.ศ.2450
การที่เสด็จในกรมฯ ทรงนำนักเรียนนายเรือไปทำการอวดธง ในต่างประเทศครั้งแรกนี้ อนึ่งจากการนำเรือไปอวดธงครั้งนี้ เสด็จในกรมฯ ทรงนำเรือมกุฎราชกุมารแวะที่สิงคโปร์ และได้เปลี่ยนสี เรือมกุฎราชกุมารเป็นสีหมอกตามอย่างเรือรบต่างประเทศ เพราะเวลานั้นเรือรบไทยยังทาสีขาวอยู่ นอกจากนั้น ยังได้นำพิธีข้ามเส้นศูนย์สูตรมาใช้ในกองทัพเรือไทย เป็นครั้งแรก และยังคงถือปฏิบัติกันมาจนทุกวันนี้ ทรงฉายร่วมกับศิษย์ที่สำเร็จการศึกษาจาก
โรงเรียนนายเรือ
|
เนื่องจากประเทศไทยถูกรุกรานทางทะเลจาก
ประเทศฝรั่งเศส เมื่อเกิดกรณีเหตุการณ์การรบ
ที่ปากแม่น้ำเจ้าพระยา ร.ศ.112 ทำให้ประเทศไทย ต้องสูญเสียดินแดนไปบางส่วน
พร้อมกับเสียเงินค่าทำขวัญ พร้อมทั้งจังหวัดจันทบุรี และจังหวัดตราด ถูกยึดเป็นประกัน
เสด็จในกรมฯ ทรงเจ็บแค้นพระทัย เป็นอย่างมาก จึงทรงให้นักเรียนนายเรือสักคำว่า
"ร.ศ.112 ตราด" ไว้ที่หน้าอกทุกคนรวมทั้งพระองค์ท่านด้วย
เพื่อเป็นเครื่องจดจำ และหาหนทางที่จะแก้แค้นต่อไป
นอกจากการสักแล้ว เสด็จในกรมฯ ทรงแต่งเพลง ฮะเบสสมอ นอกจากนั้นเสด็จในกรมฯ โปรดให้สร้างเรือน้ำตาลขึ้น เมื่อปี พ.ศ.2449 ซึ่งเป็นเรือจำลองมีคำว่า "ร.ศ.112" ที่หัวเรือ ตั้งไว้บนบกเพื่อให้นักเรียนนายเรือชั้น 4 ชั้น 5 ฝึกแก้อัตราผิดของเข็มทิศ เพื่อเวลานำเรือ ออกท้องทะเลลึกโดยเข็มไม่ผิด และให้ได้เห็นทุกวัน เป็นการเตือนใจให้หาทางแก้เผ็ด และป้องกันไม่ให้เหตุการณ์ เช่น ร.ศ.112 เกิดขึ้นอีก และที่ทรงใช้ชื่อว่า "น้ำตาล" เพราะน้ำตาลแก้รสเผ็ดได้ หรืออีกนัยหนึ่ง เป็นเรือที่ลอยน้ำไม่ได้ (เช่นเดียวกับน้ำตาล) นอกจากทรงใฝ่พระทัยในด้านการศึกษาของ นักเรียนนายเรือแล้ว เสด็จในกรมฯ ทรงดำริว่า สำหรับการช่วยเหลือราษฎรในด้านการดับเพลิงนั้น ควรจะได้ให้นักเรียนนายเรือได้มีการฝึกทำการช่วยเหลือ ราษฎรทำการดับเพลิง เพราะมีเรือสูบน้ำ และเรือกลไฟเล็ก ซึ่งขึ้นอยู่กับกรมเรือกลอยู่แล้ว และมีหน้าที่ดับเพลิง ฉะนั้นเมื่อเกิดเพลิงไหม้ที่ใด เรือกลไฟจะทำหน้าที่ลากจูงเรือ สูบน้ำไปทำการดับเพลิงเป็นประจำ ดังนั้นเสด็จในกรมฯ ทรงจัดตั้งกองดับเพลิงของทหารเรือขึ้น โดยมีกองต่าง ๆ ดังนี้ คือ
ต่อมาจึงได้เพิ่มกองสายสูบขึ้นกองหนึ่ง ในการนี้ได้ทรงจัดให้นักเรียนนายช่างกล ทำหน้าที่ร่วมกับ นักเรียนอื่น ๆ และเพื่อความชำนาญ ให้มีการเปลี่ยนกันไปบ้าง ตามความสามารถของนักเรียน นอกจากนั้นเสด็จในกรมฯ ทรงฝึกหัดการดับเพลิงให้กับทหาร และนักเรียนนายเรือ ด้วยพระองค์เอง ในสมัยนั้นมักจะเกิดเพลิงไหม้บ่อย ๆ เสด็จในกรมฯ จะเสด็จไปบัญชาการดับเพลิง ด้วยพระองค์เองเสมอ ๆ โดยไม่ทรงถือพระองค์ และจะลงมือปฏิบัติด้วยพระองค์เอง เพื่อเป็นแบบอย่าง แก่ผู้ใต้บังคับบัญชาด้วยความกล้าหาญ ดังเช่น ในต้นเดือนธันวาคม ร.ศ.119 (พ.ศ.2443) เกิดเพลิงไหม้ที่ตำบลบ่อนหัวเม็ดทางด้านวัดบพิตรพิมุข เสด็จในกรมฯ ทรงปีนหลังคาแล้วทำการรื้อ เพื่อจะตัดต้นไฟด้วยพระองค์เอง จนถึงกับประชวร พระวาโย 2 ครั้ง พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวง ประจักษ์ศิลปาคม เสนาบดีกระทรวงกลาโหม และรั้งตำแหน่งผู้บังคับบัญชาการกรมทหารเรือ ได้ถวายรายงานขอพระราชทานบำเหน็จ เพื่อเป็นเยี่ยงอย่างแก่นายทหารและพลทหารในครั้งนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงชมเชยในความอุตสาหะและความกล้าหาญ แต่ยังไม่ทรงเห็นด้วยที่จะพระราชทานรางวัล เพราะในครั้งนั้นยังไม่เคยมีรางวัล และอีกประการหนึ่ง การที่จะพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ขั้นต่ำ ๆ ก็ไม่เหมาะสมกับเสด็จในกรมฯ ดังนั้นพระองค์ ทรงให้นับไว้บวกกับความดี ซึ่งจะมีในภายหน้าที่จะได้รับ เครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสูงต่อไป การปฏิบัติงานของกองดับเพลิงนั้น ได้รับคำชมเชยอยู่เสมอ ดังเช่นในวันที่ 4 และ 5 เมษายน พ.ศ.2449 ได้เกิดเพลิงไหม้ขนานใหญ่ที่ตำบลราชวงศ์ กองดับเพลิงได้ทำการดับเพลิงอย่างเข้มแข็ง จนได้รับคำชมเชยดังนี้ "วันที่ 6 เมษายน พ.ศ.2449 กรมทหารเรือได้ลงคำสั่งที่ 8/136 ให้ทราบทั่วกันว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสรรเสริญ ความอุตสาหะของกรมทหารเรือในการดับเพลิง ที่ตำบลถนนราชวงศ์ เมื่อวันที่ 4 และ 5 เมษายน ร.ศ.125 จึงให้กรมกองประกาศให้นายทหาร พลทหาร และพลนักเรียนทราบทั่วกัน" ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ในวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ.2453 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เสด็จในกรมฯ ซึ่งขณะนั้นกำลังทรงดำรงตำแหน่ง เจ้ากรมยุทธศึกษาทหารเรือ ทรงดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเสนาบดี กระทรวงทหารเรืออีกตำแหน่งหนึ่ง ครั้นถึงวันที่ 14 เมษายน พ.ศ.2454 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดให้พระองค์ทรงออกจากราชการอยู่ชั่วระยะหนึ่ง รวมเวลาที่เสด็จในกรมฯ ทรงรับราชการครั้งแรก 11 ปี
|
ความคิดในการจัดตั้งกำลังทางอากาศนาวี (Naval Air Arm) นั้น ได้มีมาตั้งแต่ พ.ศ.2464 เมื่อนายพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เสนาธิการกระทรวงทหารเรือ ทรงเสนอความเห็นต่อที่ประชุม สภาบัญชาการ กระทรวงทหารเรือ ครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ.2464 ว่า "สมควรเริ่มตั้งกองบินทะเลขึ้นใน พ.ศ.2465 โดยใช้สัตหีบเป็นถาน (ฐานทัพ) และควรเริ่มตั้งต้นซื้อเครื่องบินทะเลเพียง 2 ลำก่อน กับควรให้นายนาวาเอก พระประดิยัตินาวายุทธ (ต่อมาเป็น พลเรือโทพระยาราชวังสัน) ซึ่งกำลังดูงานอยู่ในยุโรปขณะนั้น ดูระเบียบการจัดเครื่องบินทะเลไว้ด้วย สำหรับนักบินนั้นควรเลือกนายทหารที่เหมาะสม ไปฝากฝึกหัดบินที่ กรมอากาศยานทหารบก" สภาบัญชาการฯ มีมติอนุมัติข้อเสนอนี้ ในการประชุมครั้งที่ 4 เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ.2464 และมอบให้เสด็จในกรมฯ ทรงจัดทำโครงการ (Scheme) ในเรื่องนี้ต่อไป กองการบินทหารเรือปัจจุบันจึงถือเอาวันที่ 7 ธันวาคมของทุกปี เป็นวันคล้ายวันสถาปนาหน่วย และชาวบินนาวีได้ยึดถือว่า นายพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เป็นพระบิดาแห่งการบินนาวีด้วย |